ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวันเมืองสาวัตถีทรงปรารภภิกษุผู้ถูกภรรยาเก่าเล้าโลมจนกระสัน อยากจะสึกรูปหนึ่งได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า…
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นท้าวสักกะอยู่บนสวรรค์ ในสมัยนั้นพระเจ้าเสนกะครองราชสมบัติในเมืองพาราณสี อยู่มาวันหนึ่งพระราชาเสด็จประพาสเมือง มีนาคราชตนหนึ่ง กำลังเที่ยวจับเหยื่อบนบกกินอยู่ ถูกเด็กชาวบ้านกลุ่มหนึ่งเอาไม้ทุบตีด้วยว่าเข้าใจว่าเป็นงู พระราชาเสด็จไปถึงที่นั้นพอดี จึงรับสั่งห้ามไว้และให้ปล่อยไปเสีย
ฝ่ายนาคราชเมื่อมีชีวิตรอดกลับไปก็สำนึกในบุญคุญของพระราชา ตกดึกเวลาเที่ยงคืน จึงจำแลงตนเข้าเฝ้าพระราชาถึงที่บรรทม มอบแก้วแหวนเงินทองให้พระเสนกะพร้อมผูกมิตรภาพเป็นพระสหายกัน นับตั้งแต่วันนั้น พระราชาจึงมีแขกเป็นนาคมาเข้าเฝ้าเสมอทุกคืน
อยู่ต่อมา นาคราชได้มอบหมายให้นางนาคผู้ไม่อิ่มในกามตนหนึ่งมาประจำอยู่ข้างพระเจ้าเสนกะ เพื่อทำหน้าที่ปกป้องและส่งข่าวแก่ตนยามพระราชาต้องการความช่วยเหลือ พร้อมกับมอบมนต์บทหนึ่งให้พระราชาไว้ใช้ร่ายในคราวไม่เห็นนางนาคตนนั้น
อยู่มาวันหนึ่งพระเจ้าเสนกะเสด็จประพาสสวนหลวงพร้อมด้วยบริวาร ขณะลงเล่นน้ำในสระ นางนาคเห็นงูน้ำตัวหนึ่งจึงแปลงร่างเป็นงูเสพสมกันอยู่ พระราชาเมื่อไม่ทรงเห็นนางนาคจึงร่ายมนต์เห็นนางนาคกำลังทำอนาจารอยู่จึงใช้ซีกไม่ไผ่ตี นางนาคโกรธจึงกลับคืนที่นาคพิภพรายงานในนาคราชทราบว่า
“พระเจ้าเสนกะสหายท่านตีข้าพเจ้า จึงกลับมานี่แหละ”
พร้อมกับเปิดรอยตีให้ดู นาคราชไม่ทรงทราบความจริง คิดว่าพระเจ้าเสนกะดูหมิ่นคนของตนจึงส่งนาคทหาร ๔ ตนไปทำลายที่บรรทมของพระราชา
เมื่อนาคทหารทั้ง ๔ ตนไปถึงที่บรรทม ขณะจะลงมือทำลายก็ได้ยินคำสนทนาของพระราชากับพระเทวีว่า “น้องนางรู้ไหมว่านางนาคไปไหน วันนี้นางนาคได้ทำอนาจารกับงูน้ำตัวหนึ่ง พี่จึงเอาซีกไม้ไผ่ตี เพื่อไม่ให้นางนาคทำอีก นางโกรธหนีกลับไปที่อยู่ของตนแล้วคงจะไปรายงานสหายเราทำลายมิตรภาพเสียแล้วละ ภัยกำลังจะเกิดขึ้นแก่พวกเรา”
พวกนาคทหารจึงกลับไปรายงานความจริงแก่นาคราชนาคราชจึงเข้าเฝ้าพระราชาด้วยตนเอง เล่าความจริงให้ฟังแล้วก็ขอขมาพระองค์ ก่อนกลับเพื่อไถ่โทษจึงมอบมนต์สรรพรุตชนะที่สามารถฟังเสียงสัตว์ทุกชนิดให้พระราชาพร้อมกำชับว่า
“สหายมนต์นี้มีค่ายิ่ง ท่านอย่าให้ใครเป็นอันขาด ถ้าท่านจะมอบให้ใครแล้ว ท่านต้องฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดเข้ากองไฟ”
ตั้งแต่นั้นมา พระเจ้าเสนกะก็ทรงสำราญกับการฟังเสียงสัตว์พูดคุยกัน วันหนึ่งพระองค์ประทับที่ท้องพระโรง เสวยของเคี้ยวจิ้มน้ำผึ้งน้ำอ้อยอยู่ บังเอิญมีน้ำผึ้ง น้ำอ้อยหยดหนึ่งและขนมชิ้นหนึ่งตกลงที่พื้น มดแดงตัวหนึ่งเห็นเข้าก็รีบตะโกนร้องเรียกพวกพ้องว่า “เอ้ย..พวกเรา ถาดน้ำผึ้งหม้อน้ำอ้อยแตกแล้วหม้อขนมคว่ำแล้วที่ท้องพระโรง มาช่วยกันกินเร็ว” พระราชาทรงสดับเสียงร้องบอกกันของมดแดงแล้ว ทรงพระสรวล พระเทวีประทับอยู่ที่ใกล้เคียงจึงสงสัยแต่ก็ไม่ถามอะไร
เมื่อพระราชาเสวยและทรงสนานเสร็จแล้วก็ประทับบนพระราชบัลลังก์ ขณะนั้นมีแมลงวันตัวผู้กับตัวเมียสนทนากันว่า “น้องเอ๋ย พวกเรามาเสพสมกันเถิด” ตัวเมียพูดว่า “พี่คอยอีกสักหน่อย เดี๋ยวทหารจะนำของหอมมาถวายพระราชา เมื่อพระองค์ทรงลูบไล้ ผงของหอมจักตกลงมา ฉันจักไปทากลิ่นหอมก่อน เราค่อยเสพสมกันนะพี่” พระราชาทรงสดับเสียงนั้นแล้วก็ทรงพระสรวลอีก พระเทวีก็สงสัยอีกแต่ก็ไม่ทูลถามอะไร
ต่อมาเมื่อถึงเวลาเสวยพระกระยาหารเย็น อาหราชิ้นหนึ่งหล่นที่พื้น มดแดงก็ตะโกนร้องเรียกกันอีกว่า “เฮ้ย.. พวกเราหม้อข้าวแตกแล้ว มาช่วยกันกินเร็วโว้ย” พระราชาก็ทรงพระสรวลอีก พระเทวีก็สงสัยอีก
ในเวลาบรรทม พระเทวีจึงทูลถามพระราชา พระองค์พยายามบ่ายเบี่ยงไม่ตอบ แต่สุดท้ายทนคำอ้อนวอนไม่ได้ จึงเล่าความจริงให้ฟัง พระเทวีจึงทูลขอเรียนมนต์ด้วย พระราชาเพราะเมตตาในพระเทวี จึงยอมตาย ตกลงใจจะมอบมนต์ให้พระเทวีเรียน
รุ่งเช้า ขณะที่พระองค์เสด็จไปประพาสสวนหลวง ท้าวสักกะทรงทราบเรื่องจึงพานางสุชาดามายังสวนหลวง จำแลงตนเป็นแพะสองผัวเมียยืนอยู่ข้างทางที่พระราชาเสด็จผ่าน แพะตัวผู้กำลังทำท่าทางเสพสมกับแพะตัวเมียอยู่ ม้าเทียมรถพระราชาจึงพูดกับแพะว่า
“แพะเพื่อนเอ๋ย เจ้านี้โง่สมกับคำเขาว่าจริง ๆ ไม่รู้จักอะไรควรทำในที่แจ้ง อะไรควรทำในที่ลับเลยนะ”
แพะตอบว่า “สหายเอ๋ย แกนั้นแหละโง่ ถูกเชือกรัดคอไว้มีเชือกมัดปาก เวลาเขาปล่อยแกก็ไม่หนีไป แต่ข้าว่าพระเจ้าเสนกะโง่กว่าแกเสียอีกนะ”
ม้าสงสัยจึงถามว่า “แพะเอ๋ย ที่ว่าข้าโง่นะข้ารู้ แต่ที่ว่าพระเจ้าเสนกะโง่นะข้ารู้ แต่ที่ว่าพระเจ้าเสนกะโง่นะ เพราะเหตุไรละ?”
แพะจึงบอกว่า “เพราะเรียนมนต์นะสิ พระเจ้าเสนกะสละชีวิตตนเพื่อให้ภรรยาเรียนมนต์ สุดท้ายตัวเองก็จะตายไม่มีภรรยา จึงโง่ไงละ”
พระราชาทรงสดับคำนั้นแล้วจึงตรัสว่า “แพะเอ๋ย ถ้าเช่นนั้นเจ้าจงบอกมาว่า ข้าควรทำอย่างไรล่ะ”
แพะจึงตอบว่า “มหาราชเจ้า ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่รักเท่าชีวิตของตน คนไม่ควรให้ตนพินาศ ไม่ควรละทิ้งยศ เพราะคนรักอย่างเดียว”
ว่าแล้วก็แสดงตนเป็นท้าวสักกะให้พระราชาทราบ พระราชาจึงถามว่า “เทวราช ข้าพระองค์ได้ตรัสไปแล้วจะทำอย่างไรละที่นี้”
ท้าวสักกะจึงบอกวิธีว่า “มหาราชเจ้า ความเสียหายจะไม่มีแก่พวกท่านทั้ง ๒ ถ้าพระองค์บอกว่า ค่ายกครูมีอยู่ว่า ใครจะเรียนมนต์ต้องถูกเฆี่ยนตี ๑๐๐ ครั้ง นางจะไม่เรียนเอง”
พระราชารับทราบแล้วเมื่อเสด็จกลับเมืองรับสั่งให้พระเทวีเข้าเฝ้าแล้วตรัสบอกอย่างนั้นพระเทวีก็รับคำว่ายินดีถูกเฆี่ยน พระองค์จึงรับสั่งให้ทหารเพชฌฆาตเฆี่ยนหลังพระเทวีด้วยหวาย ๑๐๐ ครั้ง พระเทวีพอถูกเฆี่ยนไปเพียง ๓ ทีเท่านั้น ก็ทนทานไม่ได้ร้องบอกว่าไม่ต้องการเรียนมนต์แล้ว นับแต่นั้นมาพระเทวีก็ไม่กล้าเอ่ยปากขอเรียนมนต์อีกเลย
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
อย่าฟังความเมียจะเสียการงานและอย่าทำตนให้เป็นคนไร้ประโยชน์