ซื่อจนเซ่อ
นานมาแล้ว ยังมีชายหนุ่มคนหนึ่ง เป็นลูกโทนของแม่ ขาวบ้านร้านตลาดรู้จักเขาดี พากันเมตตาและไว้วางใจ ในความซื่ออย่างที่สุดของเขา ชาวบ้านเหล่านั้นจึงขนานนามให้เขาว่า "สินคนซื่อ"
สินบวชเรียนแล้ว หลังอายุครบ สินบวชจำพรรษาอยู่ที่วัดถึง 3 พรรษา แม่ก็ยอมว่าหากลูกจะไม่สึกก็ไม่เป็นไร จะบวชอยู่จนตายก็ได้ เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาถึงอย่างนั้น แม่ก็จะดีใจเสียอีก
แต่สมภารที่วัดก็แนะนำให้สินสึกเสีย เพราะซื่อจนกว่าที่จะบวชเป็นพระตลอดชีวิตได้
เมื่อสึกออกมาอยู่บ้าน สินก็พกเอาศีล 5 มาปฎิบัติอย่างเคร่งครัด ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชัวิต แต่ด้วยความกตัญญู แม่บอกจะให้ทำอะไร สินจะเชื่อฟังโดยไม่มีข้อแม้เสมอ
ด้วยใจรักสงบ และคุ้นกับความสงบ และความวิเวกของชีวิตในเขตวัดมาระยะหนึ่ง สินมักชอบเดินเข้าไปเที่ยวในป่า และปฎบัติเช่นนั้นทุกวัน
วันหนึ่งขณะเดินชมนกชมไม้อยู่นั้น สินเหลือบไปเห็นนกเขาป่าตัวหนึ่ง เกิดอยากกินแกงเผ็ดนกขึ้นมาทันที จะฆ่านกด้วยมือตนเอง สินทำไม่ได้ สินจึงบอกกับนกว่า
"นี่แน่ะ เจ้านกเขา จงบินไปที่บ้านของข้าที่อยู่ริมแม่น้ำ แล้วก็ไปหาแม่ข้า ให้จับเจ้าแกงให้ข้ากินด้วย"
แล้วสินก็เดินผิวปาก นึกในใจว่า "วันนี้กินแกงป่าสับนกให้อร่อยไม่ได้กินมานานแล้ว" ตอนเย็นเมื่อกลับถึงบ้าน เขาถามหาแกงนกจากแม่ ผู้ไม่รู้เรื่องราวอะไรด้วยเลย แต่เมื่อนางได้ฟังคำยืนยันจากลูกว่า บอกนกให้บินมาให้แม่แกงให้เขากินแล้ว แม่ก็หัวเราะด้วยความเอ็นดูสอนลูกว่า
"โธ่เอ๋ย ไปบอกนกมันให้บินมาให้แม่แกง ถึงมันจะรู้ภาษามันก็คงไม่บินมา ยิ่งมันเป็นสัตว์ไม่รู้ภาษาด้วย แม่จะเอานกที่ไหนแกงล่ะลูก" แล้วแม่ก็พูดต่อไปว่า "ทีนี้อยากแกงนกก็ต้องตีเอาหรือยิงก็ได้ เอาติดมือมาให้แม่ด้วย" ตกลงยอดคนซื่อก็ไม่ได้กินแกงนก
วันต่อมาเขาเดินเข้าไปในป่าอีก แลเห็นเห็ดขึ้นอยู่เกลื่อนใต้ตอไม้ผุๆ นึกอยากกินแกงต้มยำเห็ด เขาจึงหาไม่ดุ้นหนึ่ง ตีเห็ดจนแหลก แล้วก็เก็บห่อใบตองมาให้แม่แกงให้กิน เมื่อแม่เห็นก็มิได้ดุว่า เพราะเป็นลูกชายคนเดียว สอนลูกว่า
"ทีนี้เห็นเห็ดละก็ ต้องค่อยๆ เก็บ เอาที่ตูมๆ ตีมาเสียแหลกอย่างนี้ จะเอามาทำอะไรได้" ว่าแล้วแม่ก็โยนห่อเห็ดทิ้งไป "เอาละแม่ ทีนี้เห็นอะไรน่ากินจะเก็บเบาๆ มือ มาให้แม่ทำให้กินจ้ะแม่" แล้วเขาก็เดินลงไปผ่าฟืนที่ใต้ถุนบ้าน
ต่อมาเขาเข้าป่าอีก เดินลึกเข้าไปในป่ามากกว่าทุกวัน ไปพบรวงผึ้งที่ห้อยอยู่บนต้นไม้ ซึ่งพอจะปีนขึ้นไปเก็บได้ เขาจึงค่อยๆ เอามือเก็บผึ้งออกทีละตัว เพื่อให้ตัวหมดรัง จะเก็บรังผึ้งกลับบ้านให้ได้ ปรากฎว่าเขาถูกผึ้งต่อยจนหน้าปูดบวมไปหมด กลับมาถึงบ้าน แม่เห็นเข้าตกใจมาก พอลูกเล่าความจริงให้ฟัง แม่จึงบอกเขาว่า
"ถ้าลูกเห็นรังผึ้ง อย่าเข้าใกล้ เอาไม้ยาวๆ เขี่ยตัวออก หรือไม่ก็เอาไฟลน จะใช้ควันบุหรี่ให้ผึ้งเมาจนร่วงจากรังหมดก็ได้ มิฉะนั้นตัวผึ้งจะรุมต่อยเอา บุญแล้วที่ไม่ใช่ผึ้งหลวง" แม่ก็เก็บเหล็กในออกให้เขา แล้วก็ทายาแก็ปวดให้
ต่อมาไม่นานเขาก็เข้าป่าอีกด้วยความเคยชิน เขาสวนทางกับนักบุญที่แต่งตัวคล้ายฤาษี สวมหนังสัตว์และห้อยประคำ เขาเห็นแล้วไม่รู้จัก จะเป็นพระก็ไม่ใช่คนก็ไม่เชิง เขาจึงเอาไฟจุดแล้ววิ่งไล่ เพื่อลนฤาษีคนนั้น ฤาษีไม่รู้ตัวจึงวิ่งหนีไปโดยไม่คิดชีวิต นึกในใจว่า "วันนี้โชคไม่ดีมาพบคนบ้าเข้าได้"
พอกลับถึงบ้าน แม่ถามว่า "ได้อะไรมาให้แม่ทำให้กินบ้างลูกเอ๋ย"
"ไม่ได้อะไรมาดอกจ้ะแม่ วันนี้ไปพบตัวอะไรมาก็ไม่รู้ เหมือนคน แต่เอาหนังเสือสีเหลืองพันกาย ฉันกลัวจึงจุดใต้ เอาไฟลนเสียวิ่งหนีป่าราบไปเลย" เล่าพลาง สินคนซื่อก็หัวเราะไปพลางด้วยความขบขัน
แม่รู้สึกตกใจมาก "ตายแล้วลูก รู้หรือเปล่า นั่นเขาเรียกว่า ฤาษี ท่านไม่ทำอะไรใครดอก ออกบิณฑบาตรทุกวัน มันน้อยกินแต่ผลไม้ใบหญ้าในป่า ไม่ค่อยอาบน้ำ คนไม่เคยเห็นก็นึกว่า คนสติไม่ดี" แม่สาธยายให้ลูกฟัง แล้วก็ลงท้ายว่า "ต่อไปนี้ พบท่านอีก ลูกต้องนั่งลงไหว้ หรือกราบท่านนะลูก"
"จ้ะ ฉันจะไหว้ ฉันจะกราบ ฉันนี่บาปใหญ่แล้วนะแม่" สินรับสารภาพผิดด้วยความเสียใจ
เขาหยุดเข้าไปหาของในป่าเสียหลายเดือน ในที่สุดก็อดรนทนไม่ได้ เข้าป่าอีก เนื่อจากไม่ได้เข้าป่าเสียนาน เขาจึงเดินท่องเที่ยวในป่าจนใกล้พลบ กว่าจะรู้ตัว ความมืดก็โรยตัวอย่างรวดเร็ว
สินได้ยินเสียงสวบสาบอยู่ข้างทาง เมื่อเขาหันไปมองก็เห็นอะไรเหลืองๆ อยู่หลังแนวไม้ สัตว์นั้นเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว และปรากฎตัวออกมาเผชิญหน้ากับเขา น่าสงสารที่ตลอดชีวิตของสิน เขาไม่เคยเห็นเสือเลย เมื่อเสือลายพาดกลอนตัวใหญ่โผล่ออกมาจะตะปบเขา เขากลับค่อยๆ นั่งยองๆ ลงไหว้เสือตามที่แม่สั่ง เพราะนึกว่าเสือนั้นคือฤาษี ด้วยหนังและลายเดียวกัน สินคนซื่อจึงสิ้นชื่อ ถูกเสือตะปบกิน เสียตั้งแต่ยังไม่ทันค่ำสนิท
นิทานเรื่องนี้จึงสอนว่า คนบางคนทำได้ตามคำสั่ง ไม่มีสติปัญญาพอจะประยุกต์คำสั่ง และคำบอกเล่าอะไรได้เลย การใช้คนอย่างนี้ไปทำงาน ก็เหมือนใช้เขาเสี่ยงอันตราย เมื่อเสียเขาไปแล้วจะต้องเสียใจ เสียดาย