บุญมาวาสนาช่วย
ณ หมู่บ้านเล็กๆ ในชนบทห่างไกลแห่งหนึ่ง มีครอบครัวอยู่สองครอบครัว ปลูกบ้านติดกัน บ้านหลังใหญ่โอ่อ่า เป็นบ้านของครอบครัวเศรษฐี เป็นเรือนไม้สัก 3 หลังแฝด ล้อมรั้วด้วยไม้ดอก รอบบริเวณบ้านอันกว้างขวาง ออกดอกบานสพรั่งตลอดทั้งปี น่าดูเป็นอย่างยิ่ง ที่มุมรั้วด้านหน้าบ้าน ทางทิศตะวันออก เศรษฐีได้สร้างศาลพระภูมิ ไว้ให้เป็นที่สิงสถิตย์ของเทพรักษ์ ผู้ทำหน้าที่พระภูมิเจ้าที่คุ้มครองบ้าน
เศรษฐีเจ้าของบ้านไม่เคยสนใจศาลพระภูมิเลย ถือว่าตัวร่ำรวยอยู่แล้ว ไม่จำเป็นจะต้องบูชาหรือกราบไหว้เทพรักษ์ ซึ่งสถิตทำความสะอาดศาลพระภูมิ แต่นานๆ จึงจะทำครั้งหนึ่ง ถือว่าศาลพระภูมิเป็นเครื่องประดับบ้านเท่านั้น พอให้คนผ่านไปมา เห็นศาลพระภูมิเหมือนบ้านอื่น
นอกรั้วบ้านแต่ปลูกติดกันเป็นกระต๊อบ ของคนเข็ญใจสองคนผัวเมีย หลังคามุงแฝก ชายผู้สามีเป็นคนซื่อสัตย์ขยันขันแข็ง มีอาชีพทางจักสาน ขายกระบุง ตระกร้า กระจาด ที่สานอย่างมีฝีมือที่ตลาดในเมือง ซึ่งอยู่ไม่ไกลบ้านมากนัก
ฝ่ายภรรยาก็เป็นคนขยัน ช่วยสามีทำมาหากิน โดยพายเรือสำปั้นไปเร่ขายตามคลอง ของที่ขายก็มีพริก กะปิ หอม กระเทียม มะพร้าว น้ำตาล ฯลฯ บางทีก็นำสินค้าที่ตนขายไปแลกข้าว เสื้อผ้า พอมีรายได้ จะขยันขันแข็งอย่างไร ฐานะทางครอบครัวก็ยังจนกรอบ ไม่กระเตื้องขึ้น
ตามประเพณีของคนไทยสมัยนั้น ทุกบ้านจะต้องมีศาลพระภูมิ ฉะนั้นถึงจะยากจน สองสามีภรรยาก็อุส่าห์ยกศาลพระภูมิ ให้เหมือนเพื่อนบ้าน ข้อสำคัญศาลพระภูมิของช่างจักสาน ไปตั้งอยู่ใกล้ๆ กับศาลพระภูมิบ้านเศรษฐี คนละรั้วเท่านั้น
ศาลพระภูมิบ้านคนจน ไม่ได้ตกแต่งให้สวยงาม เหมือนศาลพระภูมิบ้านเศรษฐีแต่อย่างใด หากเจ้าของบ้านกราบไหว้ บูชาด้วยดอกไม้ธูปเทียน อยู่ทุกค่ำก่อนเข้านอน มิได้เคยขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวภรรยาของช่างสาน ทุกครั้งจะอ้อนวอนให้ศาลพระภูมิ ที่สิงสถิตย์อยู่บนศาล ช่วยเหลือนางให้มีกินมีใช้ขึ้น
"เทพารักษ์เจ้าขา ท่านก็เห็นแล้วว่าข้าลำบากยากเย็นอย่างเหลือเข็ญ ทั้งๆ ที่ทำมาหากินด้วยความขยันขันแข็ง ซื่อสัตย์สุจริต ยึดมั่นในพระศาสนา ไม่มีทางใดอีกแล้ว ที่จะทำให้ข้าสองผัวเมียร่ำรวยขึ้นได้ นอกจากเทพารักษ์จะเมตตา บันดาลความมั่งมี ให้สักกิ่งก้อยของเศรษฐีข้างบ้านก็ยังดี"
นางวิงวอนอยู่อย่างนั้นวันแล้ววันเล่า ก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมา นางก็ไม่ละความพยายามคงบูชา กราบไหว้พระภูมิด้วยความศรัทธา ไม่ขึ้งโกรธทุกวันเป็นประจำ
คืนวันหนึ่ง หลังจากที่ภรรยาของชายเข็ญใจกราบไหว้ศาลพระภูมิ และขึ้นบ้านไปเข้านอนแล้ว เทพารักษ์ในศาลพระภูมิของเศรษฐี ออกมายืนดูด้วยความสนใจ เพราะศาลอยู่ใกล้ๆ บ้าน เก็บความฉงนเอาไว้ไม่ได้ จึงร้องถามเทพารักษ์บ้านช่างสานว่า
"เราเห็นผัวเมียผู้ยากจนนี้ กราบไหว้ท่านทุกวันๆ มิได้ขาดด้วยศรัทธา และเคารพนับถือ ท่านทำไมจึงเฉยอยู่ได้ ไม่ช่วยเหลือเขา เราสิอยู่บ้านเศรษฐี แต่เจ้าของบ้านไม่เคยสนใจในเรา ไม่เคยกราบไหว้บูชา แต่กระนั้นเราก็ช่วยเขาเสียจนรวย เพราะถือว่าศาลเราอยู่ในที่ของเขา"
เทพารักษ์บ้านช่างสานจึงตอบว่า
"เราทำไมจะไม่ช่วยเหลือเขา คอยโอกาสอยู่นี่อย่างไรเล่า เพราะเราได้พิจารณาดูแล้ว ดวงชะตาของเขายังอับโชคอยู่ จะช่วยอะไรเขาวาสนาไม่ถึง เขาก็ยังจะไม่ได้รับอะไรเลย"
"โธ่เอ๋ย เราเป็นตั้งเทพารักษ์ ทำไมจะทำไม่ได้ เราก็ใช้อิทธิ์ฤทธิ์ของเรา บันดาลให้เป็นไปได้" เทพารักษ์บ้านเศรษฐีค้าน
"เอ้า ลองดูก็ได้ แต่คอยดูเถอะว่าเสียเวลาเปล่าๆ" เทพารักษ์บ้านชายเข็ญใจพูดตัดบท เพื่อตัดความรำคาญ
แล้วในตอนเช้ามืดวันรุ่งขึ้น เทพารักษ์บ้านชายเข็ญใจ ก็เนรมิตรหินเป็นไข่ไก่ทองคำแท้ๆ 2 ฟอง ไปวางไว้ข้างบันไดกระต๊อบใต้ต้นพริกมะเขือ เพราะรู้ว่าภรรยาของช่างจักสาน จะตื่นแต่เช้าเพื่อรดน้ำต้นไม้ อย่างไรเสียก็จะต้องเห็นไข่ทองคำแน่
พอวางไข่อันมีค่าในที่อันเหมาะแล้ว ศาลพระภูมิทั้งสององค์ก็ถอยมายืนดูเหตุการณ์ สักครู่ใหญ่ๆ มีอีกาสองตัวผัวเมียบินมาเกาะที่ชายคากระต๊อบ เห็นไข่ทองคำเข้าก็โฉบลงคาบเอาไข่นั้นไป ตัวละฟอง เมื่อภรรยาชายเข็ญใจตื่นและลงจากกระต๊อบ มารดน้ำต้นไม้จึงไม่แลเห็นอะไร
"นี่ไงๆ เห็นแล้วหรือยัง" เทพารักษ์บ้านชายเข็ญใจกล่าวแก่เทพารักษ์บ้านเศรษฐี ดวงเขายังอับโชคอยู่ช่วยอย่างไร เขาก็จะไม่มีวันได้รับโชคเหล่านั้น
เทพารักษ์บ้านใหญ่ ก็ยังไม่ยอมเชื่อ ค้านว่า "เรื่องบังเอิญเห็นชัดๆ"
"อย่างนั้น พรุ่งนี้เรามาทดลองกันอีกที"
ฉะนั้นในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น พระภูมิศาลไม่สวยก็เนรมิตเพชรนิลจินดาอันมีค่า ใส่กระลามะพร้าวนำไปวางไว้ชายตลิ่งใกล้กอหญ้า เพื่อมิให้คนเดินผ่านมาเห็นได้โดยง่าย แต่ถ้าภรรยาช่างสานลงมาที่ท่าน้ำเมื่อไร ก็จะเห็นได้ทันทีโดยง่าย เพราะเป็นทางที่นางขึ้นลงเป็นประจำ จนเกิดเป็นทางเดินเท้าที่ยาวคดเคี้ยวไปสู่ตัวบ้าน ไม่มีหญ้าขึ้น
พอเทพารักษ์บ้านชายเข็ญใจ วางกระลาเพชรพลอยลงที่ตลิ่ง และหันหลังเดินกลับขึ้นศาล ไปคอยดูเหตุการณ์ ก็เกิดลมน้ำเป็นคลื่นลูกใหญ่ซัดเข้าสู่ฝั่ง ลูกคลื่นโถมซัดถึงที่ๆ มีกระลาหมกซ่อนอยู่ ทำให้กระลาที่ใส่เพชรนิลจินดานั้นคว่ำลงน้ำไป ปลาใหญ่ตัวหนึ่งว่ายผ่านมา เห็นเข้าก็ว่ายรี่งับเอาเพชรพลอยกลืนกินไปทั้งหมด
เมื่อภรรยาชายเข็ญใจลงมาที่ท่าน้ำตามปกติ ก็ไม่เห็นกระลาเพชรพลอยนั้น
เห็นจะเชื่อได้แล้วสิหนาว่า คนเราโชคยังไม่มาถึง ทำอย่างไรก็ไม่มีวัน จะได้รับความช่วยเหลือจากใครได้ เทพารักษ์บ้านคนจนสำทับ
"เอ้อ ทำกลุ้ม แล้วนี่เมื่อไหร่จะมีโชคกับเขาเสียทีนะ" เทพารักษ์บ้านเศรษฐี เกิดความสงสารขึ้นมาจับใจ
"เอาเถอะ ถึงเวลาเมื่อไรเราจะเป็นคนบอกเอง"
หลายเดือนต่อมา เทพารักษ์บ้านชายเข็ญใจ ก็ร้องเรียกเทพารักษ์ศาลเพื่อนบ้าน
"ชะตาของเขาดีขึ้นแล้ว ทีนี้เขาจะร่ำรวยละ คนเราพอวาสนามาถึงไม่ต้องพูดมาก เขาก็จะร่ำรวยของเขาเอง เราไม่ต้องช่วยเขามากดอก"
พอพูดขาดคำ พระภูมิก็เนรมิต เหรียญราคา 1 ไพ (3 สตางค์) ไปวางไว้กลางทางเดินลงท่าน้ำ ไม่ช้าไม่นานภรรยาช่างสานก็ลงมาอาบน้ำ พบเหรียญ 1 ไพ เข้าดีใจเป็นอันมาก รีบอาบน้ำเข้าบ้านไปเล่าให้สามีฟัง
"พี่ฉันเก็บเงินได้ 1 ไพ ไม่รู้ว่าใครมาทำตกไว้"
"ดีจริงๆ" สามีว่า "วันนี้วันพระเสียด้วย เอาไปซื้ออะไรก็ได้ ไปถวายพระที่วัดเสียไป"
ภรรยาของชายเข็ญใจนำเงิน 1 ไพ ไปตลาดเพื่อจะซื้อปลาตัวเล็กๆ สักตัว แต่เจ้ากรรมจริงๆ วันนั้นทั้งตลาดมีแต่ปลาตัวใหญ่ ราคาเกิน 1 ไพ ทั้งนั้น นางเดินไปจดท้ายตลาด ก็พบว่าแม่ค้าปลาคนหนึ่ง มีปลาวางขายอยู่เพียงตัวเดียว เป็นปลาตัวใหญ่ตายนาน จนเป็นปลาชาท้องป่องเหมือนใกล้จะเน่า จึงถามราคาเพื่อจะซื้อ แม่ค้าบอกด้วยความซื่อว่า
"พี่จะเอาหรือ ปลาตัวนี้ตายมานาน ถึงตัวใหญ่ฉันก็จะขอขายเพียงไพเดียว ตกลงหญิงผู้ยากจนได้ปลาชาตัวโตกลับบ้าน นำไปปรึกษาสามีว่า จะทำอะไรไปถวายพระดี "ไม่รู้จะต้มจะแกงอะไร ในครอบครัวไม่มีเครื่องปรุงเหลือติดก้นครัวเลย เอาอย่างนี้ดีกว่า พี่จะไปปืนเก็บใบมะขามอ่อนมาต้นยำปลา ไปทำปลาเตรียมไว้เถิด" ว่าแล้วช่างสานก็กระวีกระวาดไปเก็บใบมะขามอ่อน
ฝ่ายภรรยาไม่โต้ตอบ ฉวยมีดได้ก็ไปนั่งทำปลา เมื่อผ่าท้องปลาออก ก็เพชรพลอยทะลักออกมา จากท้องปลามากมาย นางตกกลึงอยู่เป็นครู่ พอได้สติก็ใช้มือกอบเพชรพลอยเหล่านั้น ห่อชายผ้าแถบวิ่งไปเล่าให้สามีฟัง ที่โคนต้นมะขาม
ในขณะเดียวกัน สามีผู้กำลังปีนใบมะขามอ่อน ก็พบรังอีกาอยู่บนต้นมะขามนั้น คิดในใจว่า อาจจะมีเนื้อเค็ม ปลาเค็ม ตกค้างอยู่ในรังอีกาบ้าง จึงเอามือล้วงลงไปในรัง มือไปคลำถูกไข่สองฟอง จึงล้วงเอาออกมาเห็นไข่นั้นเป็นทองเหลืองอร่าม จึงรีบปีนต้นไม้มาเล่าข่าวดีสู่กันฟัง โผเข้ากอดกันร้องไห้ด้วยความดีใจ
"ต่อไปเราจะไม่ต้องลำบากอีกแล้ว"
"เห็นหรือยัง มนุษย์จะมาบนบานศาลกล่าวพวกเราทำไมกัน มันขึ้นกับตัวของเขาเองทั้งสิ้น"
นิทานผู้ใหญ่เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ป่วยการที่จะไปขอความช่วยเหลือจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ป่วยการที่จะคอยโชควาสนามันไม่มาจะทำอย่างไร ตกลง "อัตตาหิ อัตตะโนนาโถ" นั่นแหละเป็นวิเศษที่สุด