นายสุกกับนายดิบ
กาลครั้งหนึ่ง ยังมีตายายสองคนผัวเมีย บุตรสาวของตายาย กำลังเติบโดเป็นสาวหน้าตาหมดจด พ่อกับแม่จึงรีบปรึกษาหารือกัน เพื่อจะจัดการให้มีเหย้ามีเรือน เป็นหลักฐานเสีย วันหนึ่งตาบอกกับยายว่า
"ลูกสาวคนโตของเรานั้น ถ้ามีใครมาสู่ขอ จะยากเย็นเข็ญใจอย่างไรข้าก็จะยกให้ ขออย่างเดียว ต้องเป็นคนเคยบวชเรียนมาแล้วเท่านั้น"
"เอาล่ะๆ" ยายพูดต่อ "เจ้าคนเด็กของข้านั้น คนที่มาขอจะเคยบวชเรียนหรือไม่ข้าจะไม่ถือ ขออย่างเดียวให้ข้าชอบ ข้าเป็นยกให้ทั้งนั้น"
ขณะที่ตากับยายปรึกษากันอยู่นี้ บังเอิญมีชายหนุ่ม 2 คน ติดฝนเข้ามาและพักอยู่ที่ใต้ถุนเรือน ได้ยินความโดยตลอด หนุ่มคนหนึ่งบวชเรียนแล้ว ส่วนอีกคนหนึ่งยังไม่เคย ต่างฝ่ายก็จัดเฒ่าแก่ไปสู่ขอลูกสาวของตายาย คนที่บวชแล้ว และได้แต่งงานกับลูกสาวคนโต ชื่อ นายสุก คนที่ไม่เคยบวชและได้ลูกคนเล็ก ชื่อ นายดิบ ต่างก็เข้ามาอยู่ในบ้านพ่อตาแม่ยายทั้งสองคน
นายดิบนั้นพ่อตาเกียดมาก คอยจับผิดอยู่เสมอ แต่กลับเป็นคนโปรดของแม่ยาย อยู่มาวันหนึ่ง ตาจะไปนาของแกที่อยู่ในตำบลห่างไกล จึงให้ยายตระเตรียมข้าวของ และอาหารลงไปในเรือ 2 แจว แล้วให้นายสุกแจวหัว นายดิบแจวท้าย ส่วนพ่อนั่งกลาง
ในระหว่างทางที่แจวเรือไปนั้น ทั้ง 3 คน แลเห็นนกกระทุงกำลังเล่นน้ำอยู่ พ่อตาจึงถามนายสุกว่า ทำไมนกกระทุงจึงลอยอยู่ในน้ำได้ นายสุกตอบว่า
"เพราะขนของมันมากจ้ะพ่อ"
ครั้นพ่อตาหันไปถามนายดิบ ก็ได้ยินคำตอบว่า "เป็นธรรมดาของมันพ่อ"
แล้วก็แจวเรือกันต่อไป ไปพบคราวนี้ไปเจอนกกระสา กำลังส่งเสียงร้อง พ่อตาจึงถามนายสุกอีกว่า
"เป็นไงวะสุก นกกระสามันจึงร้องดัง"
"ก็เพราะคอมันยาวนั่นสิพ่อ" นายสุกตอบ ส่วนคำตอบของนายดิบนั้นก็คงเดิมคือ "เป็นธรรมดาของมันพ่อ"
เดินทางต่อไปอีกหน่อย เรือแจวผ่านกอไผ่กอหนึ่ง ข้างนอกใบสีแดง ด้านในของใบสีเขียว พ่อตาก็ถามนายสุกอีก
"เป็นไงสุก อ้ายไผ่นี่ใบแปลก ทำไมข้างนอกใบมันจึงแดง แล้วก็ด้านในของใบทำไมจึงเขียว
นายสุกก็ตอบได้อีก "ข้างนอกใบมันถูกแดด ใบมันจึงแดง ข้างในใบมันลับแดด ใบมันจึงเขียว"
พอนายสุกตอบเสร็จ พ่อตาก็หันไปถามเขยเล็ก นายดิบก็ตอบอย่างเดิมว่า "เป็นธรรมดาของมันพ่อ"
ครั้นแล้วก็พากันพายเรือต่อไป จนไปถึงที่นาซึ่งมีอยู่ 2 แปลง แปลงหนึ่งโล่งเตียน ไม่มีพืชพันธุ์หรือต้นไม้ขึ้นเลยแม้แต่ต้นเดียว ส่วนอีกแปลงหนึ่งมีพืชพันธุ์ และต้นไม้ขึ้นอยู่ครึ้ม แลดูเขียวชอุ่ม พ่อตาจึงถามเขยคนรักอีกว่า ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น
นายสุกอธิบายว่า "ที่นา 2 ผืนผิดกันก็เพราะว่า ที่โล่งเตียนนั้นมีทางน้ำเค็มไหลผ่าน พืชพันธุ์แม้แต่ต้นข้าวจึงไม่มีทางจะงอกขึ้นได้ ส่วนแปลงที่เขียวชอุ่มนั้นก็เพราะ ไม่มีทางน้ำเค็มไหลผ่าน อะไรต่ออะไรก็งอกขึ้นได้"
พ่อตาหันมาถามนายดิบ คำตอบก็มีเพียงประโยคเดิมประโยคเดียวเท่านั้นคือ "เป็นธรรมดาของมันเองอีกแหละพ่อ"
พอดูแลที่นาเสร็จแล้ว พ่อตาและลูกเขยทั้งสองก็แจวเรือกลับบ้าน กว่าจะถึงบ้านก็เข้าใต้เข้าไฟแล้ว กระนั้นพ่อตาก็ตรงไปต่อว่าต่อขานภรรยาเป็นการใหญ่ ในเรื่องที่เอาคนโง่อย่างนายดิบมาเป็นเขย กล่าวหาต่อไปว่า นายดิบเป็นคนปัญญาทึบ ไม่เฉลียวฉลาดเอาเสียเลย สู้นายสุกเขยใหญ่ก็ไม่ได้ ต่อว่าเสร็จแล้วพ่อตาก็เข้าไปอาบน้ำ เพื่อรับประทานอาหารเย็น ซึ่งเลยเวลาไปมากกว่าทุกวันแล้ว
แม่ยายกับลูกสาวจึงช่วยกันรีบจัดสำรับอาหารเย็น เมื่อทุกคนออกมาพร้อมหน้ากันแล้ว แม่ยายจึงถามนายดิบต่อหน้าทุกคน ไปทำผิดพลาดอะไรมา พ่อตาเขาจึงโกรธเคืองมากมาย นายดิบจึงเล่าให้แม่ยายฟังว่า
"ก็ไม่มีอะไรหรอกแม่ ตอนเข้าไปดูนา แจวเรือไปเจอะนกกระทุงกำลังว่ายน้ำอยู่ พ่อเขาถามพี่สุกว่า ทำไปนกกระทุงจึงลอยน้ำได้ พี่สุกเขาตอบพ่อว่า เพราะขนมันมาก พอพ่อหันมาถามฉัน ฉันก็ตอบว่า เป็นธรรมดาของมัน"
แม่ยายถามแทรกขึ้นว่า "อ้ายธรรมดาของเอ็งนั้นเป็นอย่างไง"
"ก็ทำไมล่ะแม่ ทีมะพร้าวมันมีขนมากเมื่อไร ทำไมมันจึงลอยได้ จริงไหมแม่"
"ไม่ใช่เรื่องเดียวล่ะมั้ง" แม่ยายถามต่อ
"พอแจวต่อไปอีกหน่อยนะแม่ เราก็ไปเจอนกกระสามันร้องเสียงดังก้องทุ่ง พ่อก็ถามพี่สุกเขาอีกว่า ทำไมนกกระสาร้องเสียงมันจะดังกว่านกอื่น พี่เขาก็ตอบว่า เพราะคอมันยาว พอพ่อถามฉัน ฉันก็ว่าธรรดาของมัน ก็แม่ดูสิกบ อึ่งอ่าง คางคก คอมันแสนจะสั้น มันยังส่งเสียงร้องขรมท้องทุ่งทั้งวันทั้งคืน คอมันยาวเสียเมื่อไรล่ะแม่"
แม่ยายหัวเราะด้วยความถูกใจ นายดิบก็เล่าต่อไปอีก "แจวต่อไปอีกหน่อย เจอกอไผ่ข้างนอกใบแดง ข้างในใบเขียว พ่อเขาก็ถามพี่สุกอีก พี่สุกเขาตอบพ่อว่า ข้างนอกใบมันถูกแดด ใบมันจึงแดง ข้างในใบมันไม่ถูกแดด ใบมันจึงเขียว พอพ่อหันมาถามฉัน ฉันก็ต้องตอบว่าเป็นธรรมดาของมัน แม่ลองคิดดูซิ แตงโมเห็นไหม เปลือกนอกมันตากแดดอยู่เท่าไรๆ ทำไมมันจึงเขียวปร๋อ ส่วนเนื้อในมันเคยถูกแดดเมื่อไร มันยังแดงแจ๋ได้" "ก็จริงของเอ็ง" แม่ยายหนุน
"แล้วพี่สุกกับฉันก็ช่วยกันแจวเรือให้พ่อแกนั่งต่อไปอีกสักครู่ใหญ่ จึงถึงนา แม่ก็คงจำได้มีอยู่ 2 แปลง แปลงหนึ่งเตียนโล่ง ส่วนอีกแปลงหนึ่งนั้นต้นไม้ขึ้นเขียวชอุ่ม พอพ่อถามพี่สุกๆ เขาก็ว่า แปลงที่เตียนนั้นเป็นเพราะทางน้ำเค็มไหลผ่าน ส่วนอีกแปลงน้ำทะเลไม่ไหลผ่าน ต้นไม้จึงขึ้น แล้วนายดิบก็หยุดคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบด้วยความเกรงใจพ่อตาผู้ผมน้อย
"อย่างคนหัวล้าน เห็นไหมแม่ มันถูกทางน้ำเค็มไหลผ่านที่ไหนกัน ผมยังไม่ยอมขึ้น"
ตั้งแต่วันนั้นต่อมา พ่อตาก็หายเคืองแค้นเขยคนเล็ก เพราะคิดขึ้นมาได้ว่า แม้ไม่บวชนายดิบก็ไม่โง่อะไร