วังนาคินทร์คำชะโนด
ได้มีตำนานเล่าขานสืบกันมาว่า มีพญานาค อยู่สองตนได้ปกครองเมืองหนองกระแส โดยครึ่งหนึ่งเป็นของ สุทโธนาค (เจ้าพระยาศรีสุทโธ) ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเป็นของ สุวรรณนาค พญานาคทั้งสองปกครองเมืองอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข แต่มีข้อตกลงกันว่า ถ้าหากมีฝ่ายใดออกไปหาอาหาร อีกฝ่ายหนึ่งจะต้องไม่ออกไป เนื่องจากเกรงว่าจะมีเรื่องกัน และอาหารที่หามาได้นั้น ให้นำมาแบ่งกันอย่างละครึ่ง
เมื่อถึงคราวสุวรรณนาคออกไปล่าสัตว์ ได้เนื้อช้างมา จึงนำเนื้อช้างที่ได้แบ่งให้สุทโธนาค พร้อมทั้งนำขนของช้างไปยืนยันว่าเป็นเนื้อช้างจริง อีกครั้งที่สุวรรณนาคออกไปล่าสัตว์หาอาหารอีก ครั้งนี้ได้เม่นกลับมาเป็นอาหาร จึงได้นำเนื้อและขนของเม่นไปมอบให้แก่สุทโธนาคเหมือนเช่นเคย แต่สุทโธนาคกลับไม่พอใจ เพราะเมื่อดูจากขนของเม่นที่มีขนาดใหญ่กว่าขนของช้าง ปริมาณเนื้อที่ได้ก็ควรมีมากกว่าเนื้อของช้าง แต่ปริมาณเนื้อนั้นกลับมีน้อยกว่ามากนัก จึงคิดว่าสุวรรณนาคไม่มีความซื่อสัตย์ ฝ่ายสุวรรณนาคพยายามที่จะอธิบายแต่ก็ไม่สำเร็จ จึงเกิดสงครามขึ้นมาระหว่างนาคทั้งสอง
พระอินทร์ทรงทราบเรื่องเข้า จึงหาวิธีที่จะทำให้พญานาคทั้งสองตนหยุดทำต่อสู้กัน โดยให้พญานาคทั้งสองสร้างแม่น้ำขึ้นคนละสาย หากใครสร้างถึงทะเลก่อนจะให้ปลาบึกไปอยู่ในแม่น้ำนั้น เมื่อได้ยินเช่นนั้น สุทโธนาคก็ได้สร้างแม่น้ำมุ่งไปทางทิศตะวันออกของหนองกระแส และด้วยความที่สุทโธนาคมีนิสัยใจร้อน เมื่อพบเจอภูเขากั้นทางแม่น้ำก็จะทำการหลบหลีก ทำให้แม่นำ้โค้งไปโค้งมา จึงเกิดเป็นแม่น้ำโขง ส่วนทางฝ่ายสุวรรณนาคนั้น ได้ทำการสร้างแม่น้ำขึ้นทางทิศใต้ของหนองกระแส สุวรรณนาคมีความละเอียด และใจเย็น แม่น้ำที่สร้างขึ้นจึงมีความตรงกว่าแม่น้ำทุกสาย ได้แก่ แม่น้ำน่าน
สุทโธนาคเป็นผู้ที่สร้างแม่น้ำได้เสร็จก่อน จึงมีปลาบึกเข้ามาอยู่ในแม่น้ำโขงเพียงแห่งเดียวเท่านั้น และเมื่อเห็นเป็นเช่นนั้น สุทโธนาคก็ได้ขอทางขึ้น-ลง ระหว่างเมืองบาดาลกับเมืองมนุษย์ไว้ 3 แห่งด้วยกัน หนึ่งในนั้นก็คือ คำชะโนด ซึ่งจะมีต้นชะโนดขึ้นอยู่ที่นั่น และให้สุทโธนาคพร้อมด้วยบริวารสามารถที่จะกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ (พญาศรีสุทโธ) และตั้งบ้านเมืองปกครองอยู่ที่คำชะโนด เมื่อข้างขึ้น 15 วัน อีก 15 วันข้างแรม ให้กลายเป็นนาค อาศัยอยู่เมืองบาดาล (พญานาคราชศรีสุทโธ)