ค่าจ้างเรือ
ในสมัยหนึ่งพระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถีทรงปรารภคนแจวเรือประจำท่าคนหนึ่ง ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า…
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดไปเป็นฤๅษี บำเพ็ญอยู่ในป่าหิมพานต์เป็นเวลาช้านาน คิดอยากจะโปรดญาติโยม จึงเข้าไปเที่ยวภิกขาจารในเมืองพาราณสี พระราชาทรงเลื่อมใสแล้วนิมนต์ให้จำพรรษาในสวนหลวงเพื่อถวายทาน พระราชาจะเสด็จไปฟังธรรมวันละครั้ง ฤๅษีมักจะให้โอวาทเป็นประจำว่า “มหาบพิตร พระราชาไม่ควรมีอคติ ๔ อย่าง คือเป็นผู้ไม่ประมาทสมบูรณ์ด้วยขันติ มีเมตตากรุณา ครองราชย์โดยธรรม ที่สำคัญพระองค์อย่างทรงโกรธเป็นอันขาด ไม่ว่าในที่ไหนๆก็ตาม จะเป็นในบ้านในป่าหรือที่ลุ่มที่ดอนก็ตาม ถ้าทำได้พระองค์จะเป็นที่รักของทวยราษฎร์ตลอดไป” พระราชาทรงเลื่อมใส จึงได้ถวายหมู่บ้านที่สามารถเก็บส่วยได้ปีละ ๑๐๐,๐๐๐ กหาปณะให้ ๑ ตำบล แต่ฤๅษีไม่รับเพราะถือเป็นกิเลส จนเวลาผ่านไปได้ ๑๒ ปี
ฤๅษีคิดจะเดินทางไปโปรดญาติโยมที่อื่นบ้างจึงไม่ได้เข้าเฝ้าทูลลาพระราชา เพียงบอกให้คนเฝ้าสวนหลวงไปกราบทูลให้ทรงทราบ แล้วก็ออกเดินทางจนไปถึงฝั่งของแม่น้ำคงคา ที่ท่าเรือแห่งนี้มีคนแจวเรือไปส่งคนข้ามฟากแล้ว่ค่อยคิดเงินค่าจ้างเอาตามใจชอบอยู่คนหนึ่ง เมื่อลูกค้าไม่ให้ก็มักจะมีเรื่องทะเลาะชกต่อยและขู่เอาเงินค่าจ้างจากผู้โดยสารอยู่เป็นประจำ
ฤๅษีเมื่อไปถึงท่าเรือแล้วก็ขอใช้บริการเรือจ้างของนายอาวาริย์ปิตานั้น เขาถามขึ้นด้วยอาการเกียจคร้านว่า “ท่านจะให้ค่าจ้างผมเท่าไรละ?” “โยม..อาตมาจะให้ของดีทำให้ร่ำรวยแก่ท่าน” ฤๅษีตอบ เขาฟังแบบงง ๆ ว่าจะได้อะไรกันแน่ จึงพาฤๅษีข้ามฟากไป พอถึงฝั่งแล้ว จึงพูดขึ้นว่า “ท่านจ่ายค่าจ้างด้วยครับ” ฤๅษีจึงบอกของดีเป็นธรรมโอวาทว่า “โยม..ขอค่าจ้างกับคนที่ยังไม่ข้ามไปฝั่งโน้นก่อนสิ เพราะจิตใจของคนที่ข้ามฟากแล้วกับคนที่ยังไม่ได้ข้ามต่างกัน โยม.. ขอท่านจงอย่าโกรธนะ ไม่ว่าในที่ไหนๆ ทั้งในบ้าน ในป่า ความร่ำรวยในทรัพย์ก็จะมีแก่โยม นี่แหละของดีนะโยม”
เขาถามว่า “สมณะ นี่หรือคือค่าจ้างที่ท่านให้ผม”
ฤๅษี “ใช่ละ โยม”
คนแจวเรือ “ไม่ได้ ต้องเป็นเงินสิ”
ฤๅษี “โยม..นอกจากโอวาทนี้แล้ว อาตมาไม่มีอย่างอื่น” เขาโกรธมากพร้อมกับตวาดว่า “เมื่อไม่มีเงินแล้ว ลงเรือผมมาทำไม” ผลักฤๅษีจนล้มลงแล้วนั่งทับอกตบปากท่านหนึ่งที ขณะนั้นภรรยาของเขาที่กำลังท้องแก่ได้ถืออาหารมาส่งเขา จำฤๅษีนั้นได้จึงบอกสามีว่า “พี่.. ฤๅษีนี่ประจำอยู่ราชสำนักนะพี่อย่าตีท่านนะ” เขากำลังอยู่ในอารมณ์โกรธจึงลุกขึ้นตบภรรยาอย่างแรง ถาดข้าวแตกกระจาย ภรรยาล้มลงทำให้ลูกทะลักออกมาทันที
ชาวบ้านที่อยู่ละแวกนั้นต่างมายืนมุงดูและช่วยกันจับเขาไว้เพราะคิดว่าเป็นโจรฆ่าคนตาย แล้วนำไปถวายพระราชา เขาถูกวินิจฉัยให้จำคุกตลอดชีวิต
พระพุทธองค์เมื่อตรัสอดีตนิทานจบแล้วได้ตรัสให้โอวาทภิกษุว่า “ภิกษุทั้งหลาย ผู้จะให้โอวาทควรให้แก่คนที่เหมาะสมไม่ควรให้แก่คนที่ไม่เหมาะสม ดังฤๅษีให้โอวาทแก่พระราชาได้ หมู่บ้านชั้นดี แต่ให้โอวาทแก่คนแจวเรือจ้างกลับถูกตบปาก ฉะนั้น
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
จะกล่าวสอนใครควรดูความเหมาะสม เพราะคนพาลย่อมไม่ยินดีในธรรมเป็นพาลทุกเมื่อ