อำนาจกับปัญญา
นานมาแล้ว ยังมีโหราจารย์คนหนึ่ง เป็นผู้เคารพนับถืบของคนทั้งหลาย สามารถทำนายบอกเหตุการณ์ในอดีต ปัจจุบัน อนาคต ได้เหมือนกับตาเห็น
แต่หลายครั้งหลายคราว การทำนายของโหราจารย์ผู้นี้ ไม่เป็นที่สบพระทัยของพระราชาแห่งเมืองนั้น จึงทรงตั้งพระทัยไว้ว่าจะให้โหราจารย์ มีชีวิตอยู่นานไม่ได้
ครั้งที่กริ้วที่สุดก็คือ ท่านโหราจารย์ทำนายว่า หญิงสาวในเมืองชะตากำลังร้าย ให้รีบหนีออกนอกเมือง อพยพไปอยู่ที่อื่นเสีย เป็นเหตุให้ข้าราชการบริพาร ออกไปแสวงหาหญิงสาวสวยมาถวายได้โดยยาก
อยู่มาวันหนึ่ง โหราจารย์ไม่ออกจากบ้าน ไปที่ใดเหมือนอย่างเคย ซ้ำยังไม่ยอมทำนายทายทักให้แก่ใคร ครั้นมีคนถามถึงสาเหตุด้วยความสงสัย โหราจารย์ก็ตอบว่า
"พระราชาจะให้ทหารคนสนิท มาตามเราให้เข้าเฝ้าในวังหลวงวันนี้แหละ เราจึงต้องอยู่คอย" วันหนึ่งๆ จะมีผู้คนมาหาโหราจารย์เป็นจะนวนมากมาย ท่านก็ตอบแก่ผู้ที่เข้ามาหาทุกคนเช่นเดียวกัน ยกเว้นแต่ว่าผู้ที่สนิทกันจริงๆ โหราจารย์ก็จะหัวเราะอย่างขบขัน ก่อนที่จะตอบว่า
"พระราชาทรงไม่พอพระทัยเรา เพราะคำทำทายของเรา ให้สตรีสาวสวยทั้งหลาย หนีออกไปจากเมืองหมดไม่มีเหลือ วันนี้พระองค์จึงจะให้ทหารคนสนิท มาตามตัวเราไปเฝ้าในพระราชวัง เพื่อจะหาสาเหตุฆ่าเราเสียด้วยความโกรธ"
เมื่อผู้ที่ได้ยินได้ฟังทั้งหลาย ทำหน้าวิตกเป็นห่วงหรือสงสาร โหราจารย์ก็อธิบายอย่างสบายใจว่า "พระราชานั้น ทรงคิดว่าพระองค์เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในแผ่นดิน จะสั่งฆ่าใครเมื่อไหร่ก็ได้"
พอพูดถึงตรงนี้โหราจารย์ก็หัวเราะ ราวกับว่าเป็นเรื่องไม่สลักสำคัญ เป็นเรื่องน่าขันเสียมากกว่า คนทั้งหลายรู้สึกตกใจและสงสัยไปตามๆ กัน จึงพากันถามว่า
"ท่านอาจารย์จะถูกฆ่า แต่เหตุใดจึงหัวเราะได้อย่างนี้เล่า"
โหราจารย์กลับย้อนไปอีกว่า "พระราชานั้นย่อมมีอำนาจล้นฟ้าใหญ่ยิ่ง จะฆ่าใครเสียเมื่อไรก็ย่อมได้ แต่เราก็เป็นคนมีปัญญา พวกท่านลองคิดกันดูซิว่าอะไรจะแพ้อะไร อำนาจชนะปัญญาหรือจะแพ้ปัญญา
ลูกศิษย์กับคนทั้งหลายที่ห้อมล้อมโหราจารย์อยู่ ณ ที่นั้นตอบเป็นเสียงเดียวราวกับนัดกันไว้ว่า "โดยทั่วไปในโลก ก็เป็นที่ประจักษ์กันแล้วว่า ปัญญาจะต้องชนะอำนาจเสมอ แต่คราวนี้พวกเราห่วงอาจารย์ยิ่ง เพราะไม่มีทาง ที่ปัญญาจะชนะอำนาจโหดพระราขาในคราวนี้ได้ดอก พวกข้าว่า"
"ความจริงเราก็มีความคิดเช่นเดียวกับท่าน" โหราจารย์ตอบ ว่าแล้วก็หัวเราะด้วยเสียงอันดัง อย่างขบขันยิ่งขึ้น ทำให้ทุกคนที่ได้ยินได้เห็นยิ่งพากันงงงวย และบ้างก็ว่า
"อาจารย์ของเราไม่เหมือนเก่าเสียแล้ว ชะรอยกลัวว่าจะถูกประหารชีวิตมากมาย จึงเกิดอาการวิกลจริตเช่นนี้"
"ข้าว่าไม่ใช่อย่างนั้นดอก" ศิษย์เอกของโหราจารย์ ปกป้องอาจารย์ของตน "ท่านโหราจารย์ อาจารย์ของเรานั้น ไม่ใช่คนโง่เขลาเบาปัญญา คอยดูเถิดน่า ท่านจะต้องใช้สติปัญญาของท่าน เอาตัวรอดได้ข้าว่า"
ในที่สุด เวลาที่ท่านโหราจารย์ นั่งคอยอยู่เกือบทั้งวันก็มาถึง ทันทีที่ทหารสนิทของพระราชาโผล่ขึ้นเรือนมา โหราจารย์ก็มิได้แสดงความตระหนกตกใจแม้แต่น้อย กลับหัวเราะแล้วพูดว่า
"ข้าพเจ้าคอยท่านอยู่เป็นนานสองนาน พร้อมที่จะเข้าเฝ้าพระราชาทันที ไม่ต้องเข้าไปแต่งตัว ทำให้ท่านต้องคอยอีกแล้ว"
โหราจารย์ตัดไม้ข่มนาม ถึงความสามารถของตัว ที่บอกอนาคตได้โดยแม่นยำ ทำให้ทหารที่มาจับตัว ต้องดูตากันเลิ่กลัก "มัวชักช้าไปทำไมท่านนายทหาร โปรดเดินนำทางเถิด ข้าพเจ้าจะได้ตามท่านไป"
ทหารที่มากุมตัวได้ยินเช่นนั้นจึงหายตะลึง ด้วยนึกไม่ถึงว่าโหราจารย์ จะรู้กาลอนาคตได้แม่นยำถึงเพียงนี้ ครั้นได้สติ นายทหารที่เป็นหัวหน้าจึงถามขึ้นว่า "ท่านโหราจารย์รู้ได้อย่างไร ว่าข้าพเจ้าจะมากุมตัวท่าน หรือมีใครมาบอกท่านล่วงหน้า เพราะการที่ข้าพเจ้ากับพวกมาในวันนี้ พอได้รับพระราชบัญชาก็ออกเดินทางจากวังมาเลย แม้แต่ทหารที่มาด้วยก็ยังไม่มีใครรู้ว่ามาทำอะไร มีรู้อยู่ก็แต่ข้าพเจ้าแต่เพียงผู้เดียว จะว่ามีใครมาบอกท่านก็เป็นไปไม่ได้ ท่านรู้เสียก่อนที่ข้าพเจ้าจะแจ้งความแก่ท่านเสียอีก"
โหราจารย์จึงตอบว่า "คนทั้งหลายเขาเคารพนับถือข้าก็เพราะข้าหยั่งรู้ อดีต ปัจจุบัน อนาคต ที่ปรากฎและเลื่องลืออยู่"
"เมื่อรู้ตัวว่าจะตายแน่ ทำไมอาจารย์มิได้แสดงความเกรงกลัวอะไรเลย กลับทำท่าตามสบาย" ทหารคนสนิทของพระราชา ถามด้วยความงุนงงสงสัยมากขึ้น
โหราจารย์หัวเราะหึๆ อยู่ในลำคอพูดว่า
"พระราชาของท่านจะจับข้าเอาไปประหารชีวิตในวังนี้ ข้าพเจ้ารู้เสียตั้งแต่ท่านกำลังเฝ้ารับบัญชา อยู่ในพระที่นั่งอันรโหฐาน แต่น่าสงสารพระราชาของท่าน จะผิดหวังอย่างไม่น่าเป็นไปได้"
"ไม่จริงดอก ท่านเดินเข้าวังกับข้าพเจ้าในวันนี้ ก็เท่ากับท่านเดินขึ้นสู่ตะแลงแกงแล้วละ จะไม่มีทางหนีและจะไม่มีคนช่วยเหลือท่านได้ เพราะเราเตรียมการจะมาเกาะกุมตัวท่าน อย่างระมัดระวังยิ่ง ด้วยรู้ว่าท่านนั้นมีลูกศิษย์ลูกหา และคนเคารพนับถือมากมาย" นายทหารยืนยันอย่างมั่นใจ
โหราจารย์หัวเราะอีก "เอาเถิดน่าคอยดูก็แล้วกัน แล้วจะบอกให้ก็ได้ว่า นอกจากจะไม่สามารถฆ่าข้าได้แล้ว พระองค์ยังจะต้องทรงบำรุงรักษาชีวิตของข้า เท่ากับชีวิตของพระองค์เองด้วยซ้ำไป ไม่เชื่อประเดี๋ยวก็รู้"
แล้วเหตุการณ์สำคัญก็มาถึง ขณะที่โหราจารย์หมอบเฝ้า อยู่ต่อหน้าพระพักต์ของพระราชา พระองค์รับสั่งด้วยพระเสียง ที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยันว่า
"อีตาโหรเฒ่า แกจงบอกชะตาของแกมาซิว่า ตัวแกนั่นแหละจะต้องตายเมื่อไร" พอสิ้นพระสุรเสียงก็ทรงพระสรวลด้วยเสียงอันดัง
โหราจารย์ได้ฟังดังนั้น ก็แสร้งทำเป็นใช้ดินสอขีดเขียนคำนวน บนกระดานชนวนที่ติดตัวมาพอเป็นพิธี เสร็จแล้วก็กราบทูลว่า
"ควรมิควรสุดแต่จะทรงโปรด เกล้ากระหม่อนลองคำนวนเปรียบเทียบ ชะตาอายุของฝ่าบาท และของเกล้ากระหม่อม ปรากฎตัวเลขออกมาว่า พระราชาธิราชจะเสด็จสวรรคต ตามตำแหน่งแห่งพรหมลิขิต เมื่อชีวิตของข้าพเจ้าแตกดับไปแล้ว เป็นเวลาสามวันพ่ะย่ะค่ะ"
พระราชาผู้ทรงอำนาจได้ฟังดังนั้น ก็ทรงได้สติและดำริในหระหทัยว่า "ถ้าเราฆ่าโหราจารย์เฒ่า เราก็จะต้องตายตามมันไปใน 3 วัน ฉะนั้นมันอายุยืนเท่าไร ก็แปลว่าเราจะได้อยู่นานเท่านั้น" ดำริแล้วก็ทรงประกาศว่า
ตั้งแต่นี้ต่อไป เราขอแต่งตั้งให้โหราจารย์ เป็นพระโหราธิบดีแห่งราชสำนัก ทุกคนเคยให้ความเคารพแก่เราอย่างไร ก็จงให้ความเคารพนับถือแก่โหราจารย์เท่านั้น" แล้วยังสั่งต่อไปว่า
"เรื่องการกินอยู่ของพระโหราธิบดี ก็ให้พนักงานชาววังจัดการปฏิบัติ ให้เหมือนกับว่าพระโหราธิบดี เป็นญาติผู้ใหญ่ของเราทุกประการ"
ปัญญาจึงชนะอำนาจเสมอ