英语英语 日语日语 韩语韩语 法语法语 德语德语 西班牙语西班牙语 意大利语意大利语 阿拉伯语阿拉伯语 葡萄牙语葡萄牙语 越南语越南语 俄语俄语 芬兰语芬兰语 丹麦语丹麦语 对外汉语对外汉语

泰语学习网

  • 高级搜索
  • 收藏本站
  • 网站地图
  • RSS订阅
  • 设为首页
  • TAG标签
  • TAG列表
  • 关键字列表
当前位置: 首页 » 泰国新闻 » lifestyle » 正文

ซื้อ "ไอแพค-ไอโฟน-VDOเกม-

时间:2012-06-23来源:互联网作者:jie  进入泰语论坛
核心提示:ซื้อ ไอแพค-ไอโฟน-VDOเกม-TV ให้ลูกเล่น...ภัยเงียบต่อสมองอย่างที่คุณคิดไม่ถึง !! สาวสวยมากกว่า
(单词翻译:双击或拖选)

ซื้อ "ไอแพค-ไอโฟน-VDOเกม-TV" ให้ลูกเล่น...ภัยเงียบต่อ"สมอง"อย่างที่คุณคิดไม่ถึง !!

 

 

  สาวสวยมากกว่าความสามารถ “หนูดี” วนิษา เรซ ผู้เชี่ยวชาญด้านอัจฉริยภาพ ได้มาแบ่งปันประสบการณ์ และสะท้อนผลงานวิจัยในต่างประเทศมากมาย เกี่ยวกับเทคโนโลยีที่มีผลกระทบเชิงลบต่อพัฒนาการทางสมองเด็ก มีงานวิจัยจำนวนมากที่ไม่สนับสนุนให้เด็กอยู่กับเทคโนโลยีมากเกินไป อย่างน้อยในวัยที่ต่ำกว่า 15 ปี และชี้ให้เห็นอย่างน่ากลัวว่าตัวหนูดี ไม่ได้ต่อต้านเทคโนโลยี แต่ถ้าพูดในฐานะครู เรามีความกังวลหลาย ๆ อย่าง เช่น ที่โรงเรียนวนิษา ถ้าเป็นเด็กในชั้นอนุบาล จะคุยกับผู้ปกครองว่า ห้ามไม่ให้เด็กเล่นไอโฟน  ไม่ให้เด็กเล่นไอแพด ไม่ให้เด็กมีคอมพิวเตอร์อยู่ที่บ้าน เหตุผลง่าย ๆ เพราะว่า ดวงตาของเด็ก กับดวงตาของผู้ใหญ่ เป็นอวัยวะเดียวกับสมองอยู่แล้ว การที่นำมาล็อคไว้ในที่แคบ ๆ  ทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าได้ ส่งผลให้สมองพัฒนาไม่ดีเท่าที่ควรถ้าเป็นเด็กประถมที่จำเป็นต้องเรียนคอมพิวเตอร์  ทางโรงเรียนจะมีการบล๊อคบางเว็บไซด์ ห้ามไม่ให้เด็กเล่นเฟสบุ๊คที่โรงเรียน ส่วนที่บ้านถ้าเด็กระดับประถมศึกษาปีที่ 4 - 6 จะเล่นเฟสบุ๊คได้หรือไม่ แล้วแต่วิจารณญาณของพ่อแม่ว่า สามารถควบคุมได้แค่ไหนที่บ้าน

 

  นอกจากนี้ ทางโรงเรียนไม่ให้เด็กเล่นวีดีโอเกม เพราะมีงานวิจัยพบมา วีดีโอเกมบางเกม ถึงจะดูไม่เป็นอันตรายเป็นเกมสนุก ๆ เสริมสร้างพัฒนาการ แต่บางเกมมีเนื้อหาที่ถือว่าอันตราย มีความแรง ความเบาแตกต่างกันไป
 
 
  การที่ห้ามเด็กที่โรงเรียนเล่นวีดีโอเกม ไม่ได้มองเนื้อหาเพียงอย่างเดียว แต่พฤติกรรมการนั่งจ้องหน้าจอเป็นเวลานาน ๆ ไม่ส่งผลดีต่อสายตาของเด็กและผู้ใหญ่  อย่างที่บอกตาถือเป็นอวัยวะเดียวกับสมอง ไม่สนับสนุนเลยไม่ว่า เนื้อหาจะส่งเสริมพัฒนาการทางด้านการศึกษาก็ตาม
 
 
  รวมถึงการห้ามไม่ให้เด็กนักเรียนอนุบาลถึงประถมดูโทรทัศน์ แต่ถ้าเป็นนักเรียนในระดับมัธยมศึกษา ที่บ้านพ่อแม่ควรมีข้อจำกัดในการดู เนื่องจากมีผลงานวิจัยจำนวนมากที่พูดถึงข้อเสียของโทรทัศน์  โดยมีงานวิจัยของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในอเมริกาพบว่า เด็กนั่งจ้องโทรทัศน์วันละ 1 ชั่วโมง จะเพิ่มความเสี่ยงที่จะเป็นโรคสมาธิสั้นได้ 10% หมายความว่า ถ้าเด็กคนไหนนั่งจ้องหน้าจอโทรทัศน์วันละ 5 ชั่วโมง เด็กคนนั้นจะเพิ่มความเสี่ยงที่จะเป็นโรคสมาธิสั้นถึง 50% มีงานวิจัยจำนวนมากที่ไม่สนับสนุนให้เด็กอยู่กับเทคโนโลยีมากเกินไป อย่างน้อยในวัยที่ต่ำกว่า 15 ปี
 
 
  Q ช่วยขยายความที่ว่า การอยู่กับเทคโนโลยีมากทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าได้
 
 
  การเก็บสายตาให้ล็อคไว้ในที่แคบ ๆ เช่น หน้าจอของมือถือ ไอโฟน หรือหน้าจอของโทรทัศน์  คอมพิวเตอร์  เป็นพื้นที่ที่แคบเกินไปสำหรับการใช้ตาของมนุษย์ ซึ่งในระยะยาว ส่งผลถึงการผิดปกติต่าง ๆ ของสมอง ภาวะซึมเศร้าก็เป็นหนึ่งในนั้น
 
 
  โรคซึมเศร้าเป็นภาวะทางสมอง บางคนอาจบอกไม่ใช่เรื่อง แต่หนูดีมองว่า โรคซึมเศร้าเป็นภาวะที่รุนแรงมากในตัวคนที่เป็น คนที่เป็นโรคซึมเศร้าไม่ได้ทำความเดือดร้อนให้สังคม แต่ถ้าทำร้ายตัวเอง เช่น ฆ่าตัวตาย หรีอไม่สามารถเป็นประชากรที่มีคุณภาพของสังคมได้ หรือทำสิ่งที่ดี ๆ ให้กับสังคมได้ สังคมก็เสียหาย ไม่นับถึงคนใกล้ชิดที่เสียใจเมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น
 
 
  Qถ้าเด็กที่ให้โตมากับTV –วีดีโอเกมก้าวร้าว รุนแรง จะช่วยเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได้อย่างไร
 
  มีอาจารย์ของหนูดี และรุ่นพี่ที่ทำงานทางด้านยุติธรรมมีโอกาสเข้าไปทำงานกับนักโทษอุกฉกรรจ์ในคุกที่อเมริกา มีหลายกรณีที่นักโทษมาเปิดใจ ร้องไห้ เสียใจ ไม่เคยมีใครกอด ไม่เคยมีใครให้ความสนใจ ถ้าอยู่ในภาวะนั้น สามารถเยียวยาได้ มีน้อยคนในโลกที่เยียวยาไม่ได้ อย่างกรณีของเด็กนักเรียนอาชีวะ บางทีตีกัน อาจจะมีลูกหลง โดนคนที่ไม่เกี่ยวข้องเสียชีวิต ก็อยากจะมองว่า เราสามารถเยียวยาบำบัด ฟื้นฟูได้
 
 
   Qสังคมเกิดความขัดแย้งแบ่งสีแบ่งฝ่ายกัน แนะนำให้มองโลกแง่บวกอย่างไรให้ใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข
 
 
  การที่สังคมของเราแตกแยกออกเป็นกลุ่มต่าง ๆ เป็นสีเสื้อต่าง ๆ หนูดีมองว่า ทุกคนมีจุดยุติธรรมที่อยากจะเรียกร้อง หนูดีเองมีโอกาสได้ฟังทั้งสองฝ่าย คิดว่า ทุกคนมีที่มาที่ไป เขาอยากได้อะไร เขาต่อสู้เพื่ออะไร
 
 
  จริง ๆ เมืองไทยเป็นเมืองน่ารักมาก ๆ ไม่เคยมีฝรั่งคนไหนที่ไม่อยากมาเมืองไทย แม้กระทั่งเกิดเหตุการณ์เผาบ้านเมืองกัน ฝรั่งก็ยังอยากมา คนไทยเป็นคนที่ยิ้มเก่งที่สุดในโลก เรามีต้นทุนดี ๆ ในตัว อะไรที่ตกลงกันได้ รีบตกลง เรื่องสีเสื้อจะให้อยู่ถึงรุ่นลูกของเราเลยหรือ ในจุดหนึ่งเราคงตกลงอะไรกันได้สักอย่างหนึ่ง แล้วพยายามหาอะไรที่ทุกคนมีความสุขให้ได้เร็วที่สุด
 
 
  Q เกิดอะไรขึ้นกับสมองของคนยุคปัจจุบัน ทำให้ถูกชักจูงโน้มน้าวใช้จิตวิทยาได้ง่ายต่างกับในอดีต
 
  ในมหาวิทยาลัยมีการสอนในเรื่องของการโน้มน้าวการเจรจาต่อรอง เป็นสิ่งที่ดีที่ใช้ในธุรกิจ แต่พอนำมาโน้มน้าวในปัจจุบันแล้ว บางครั้งระหว่างการโน้มน้าวแล้วไปทำร้ายอีกฝ่าย อาจจะทำให้เกิดความแตกแยกได้มากขึ้น
คนไทยส่วนใหญ่ใจดีมาก ๆ ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยเห็นพฤติกรรมที่ดูน่ากลัว รุนแรง จริง ๆ คนไทยเป็นคนพุทธ กลัวบาป กลัวกรรมที่สุด ไม่อยากทำอะไรใคร เดี๋ยวชาติหน้าต้องไปใช้คืน ยังไม่เคยเห็นคนชาติไหนเป็นอย่างนี้ ถ้าไปอยู่อเมริกา ถ้าใครมาทำอะไรเรา ฟ้องร้องกัน แต่คนไทยจะมองเป็นเรื่องเวรกรรมว่า เราคงทำเขาไว้ชาติที่แล้ว เขามาเอาคืน ให้เลิกแล้วต่อกัน ไป
 
 
  หนูดีว่ามันเป็นประเด็นที่ เราคนไทยแต่ละคนน่าจะลุกขึ้นมาถามตัวเองว่า เกิดอะไรขึ้นในสังคมของเรา มันถึงได้เป็นไปขนาดนี้ หนูดีว่า จริง ๆ แล้วคนที่บอกว่า ตัวเองเป็นกลาง จริง ๆ คือ ขี้เกียจหรือเปล่า หรือไม่อยากเข้ามาวุ่นวายหรือเปล่า หนูดีมองว่า ถ้าทุก ๆ คนช่วยกันคิดว่า ทำอะไรยังไงที่จะให้เกิดผลสรุปที่มันดี มันน่าจะมีพลังได้มากขึ้น พูดแล้วเห็นใจถึงแม้เราจะไม่ใช่คอการเมือง แต่ถ้ามีโอกาสได้ฟังทั้งสองฝ่าย จะไม่อยากว่า ใครผิด เพราะว่า ทุกข้อเรียกร้องฟังแล้ว มันมีที่มาที่ไปมาก ๆ เลย
 
 
  Qจะเลี้ยงเด็กให้มีพัฒนาการสมองที่ดีได้อย่างไรในสภาพสังคมครอบครัวที่มีการแบ่งสีแตกแยก
 
 
  เด็ก ๆ ที่เติบโตในยุคนี้ หนูดีว่า ไม่แตกต่างจากเด็กในอเมริกาที่มีสองพรรคการเมืองใหญ่ที่ตีกันตลอดเวลา หนูดีว่า ถ้าพ่อแม่มีความยุติธรรม และไม่ลุกขึ้นไปเป็นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และโจมตีอีกฝ่ายให้เด็กเห็น ควรจะสอนให้เด็กวิเคราะห์แยกแยะเห็นถึงวิธีการเรียกร้อง การโน้มน้าวของแต่ละฝ่าย แล้วก็ให้เด็กทำความเข้าใจ หนูดีว่า เด็กสามารถเติบโตขึ้นมา และมีความยุติธรรมในหัวใจได้ เพราะทันทีที่เราชี้นิ้วว่า อีกฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายผิด มันเสี่ยงมาก
 
 
  Qถ้าครอบครัวมีการแบ่งสีแบ่งฝ่าย ไม่มีการสอนให้แยกแยะ เท่ากับทำร้ายลูกหลานของตัวเอง
 
 
  ใช่ พ่อแม่ หรือครูต้องรู้จักแยกแยะเหตุผลให้ฟัง อย่างหนูดีสังเกตเด็กเล็กในโรงเรียนวนิษาเอง ไม่ค่อยกระทบกระเทือน ที่กระทบน่าจะเป็นเด็กวัยรุ่น เด็กในมหาวิทยาลัยอาจจะเริ่มหัวรุนแรง ถ้าครูอาจารย์ในมหาวิทยาลัยไม่คำแนะนำที่ดี  ในที่สุดเด็กจะไปเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ไม่สามารถยืนอยู่ตรงจุดหนึ่งของเขา แล้วค่อย ๆ วิเคราะห์ทั้งสองฝ่าย หนูดีว่า ถ้าเด็กที่วิเคราะห์ได้น่าจะเป็นเด็กรุ่นต่อไป และสามารถสมานความต้องการของทั้งสองฝ่ายได้ด้วยซ้ำไป
 
  Qอยากฝากอะไรถึงคุณพ่อคุณแม่ในยุคปัจจุบัน
 
 
  ถ้าเป็นพ่อแม่รุ่นใหม่ สำหรับหนูดีเอง สิ่งที่มีค่ามากที่สุด ไม่ใช่ของเล่น หรือของใช้ที่ให้ลูกได้ สิ่งที่ดีที่สุด หนูดีคิดว่า คือ ตัวของเรา หรือเวลาของเรา หนูดีมองว่า อุปกรณ์เทคโนโลยีต่าง ๆ ถ้าเป็นเด็กเล็กยังไม่จำเป็นขนาดนั้น แต่พี่วัยรุ่นอาจจะจำเป็นในการใช้เทคโนโลยีในการทำรายงาน หาข้อมูล มีโทรศัพท์มือถือ 1 เครื่องไว้ติดต่อกับพ่อแม่ หนูดีมองว่า เทคโนโลยีเหล่านี้ต้องมีการข้อจำกัดในการใช้ และต้องระมัดระวัง
 
 
  อย่าว่า แต่เด็กวัยรุ่นเลย ตัวหนูดีเอง ถ้าเกิดไม่ระวัง อาจจะอยู่กับเฟสบุ๊คในตอนเย็น ทำให้นอนดึก อาจจะไปตามยูทูปไปตามข้อมูลตรงนั้น ตรงนี้ ทำให้นอนดึกตี 1 ตี 2 ซึ่งเอาเข้าจริง ๆ แล้วเนื้อหาที่ไปดูก็ไม่ได้สร้างสรรค์กับชีวิต ไม่ใช่เรื่องจำเป็น เพราะฉะนั้นหนูดีมองว่า ในเรื่องพวกนี้ไม่ว่าจะใช้คอมพิวเตอร์ หรือโทรศัพท์มือถือ สมาร์ทโฟนต่าง ๆ ถามว่า ตัวเราเองควบคุมไหวหรือไม่ ถ้าตัวเราเองยังควบคุมไม่ได้ แล้วลูกของเรา สมองของมนุษย์ที่กำลังจะพัฒนาเต็มวัย เมื่ออายุ 25 ปี เด็กที่จบปริญญาตรีสมองส่วนที่คิดยังไม่ได้พัฒนาเต็มที่เหมือนกัน แล้วเขาจะมีความสามารถควบคุมตัวเองได้เท่าเราหรือไม่ อันนี้เป็นประเด็นที่น่าคิด ก่อนที่มอบความสามารถในการเข้าถึงเทคโนโลยีให้กับเด็ก ๆ ในแต่ละช่วงอายุ
 
 
  Qผลงานวิจัยหนึ่งมองว่า เด็กไทยปัจจุบันไอคิวต่ำ มาจากผลกระทบจากเทคโนโลยีหรือไม่
 
  จริง ๆ แล้วงานวิจัยเรื่องไอคิวของ มีการสุ่มตัวอย่างมา แล้วพบว่า กลุ่มที่สุ่มมาไอคิวของเด็กไทยลดต่ำลงต่อเนื่องกันหลายปี แต่ปีล่าสุดยังไม่ได้ไปดู แต่ถ้าถามหนูดีมีความเชื่อมั่นในตัวเด็กมาก หลังจากได้เห็นเด็กข้างนอกที่ไปบรรยาย เด็กที่ได้มีโอกาสไปร่วมทำกิจกรรมด้วยทั้งระดับประถม มัธยม มหาวิทยาลัย หนูดีคิดว่าเด็กรุ่นนี้เก่งเอาตัวรอดได้ หนูดีไม่ห่วงเลย ไอคิวคนเฉลี่ยอยู่ประมาณ 90-100 การที่ไอคิวจะพุ่งขึ้นไปถึง 180 น้อยมาก ต่ำมาก ๆ ก็ไม่ได้มีมาก
 
 
  หนูดีไม่ได้กังวลเรื่องไอคิว หนูดีกังวลเรื่องการใช้สมองให้คุ้มค่ามากกว่า เพราะว่า ไอคิวคนมีช่วงห่างกันนิดเดียว ถ้ามีโอกาสได้พัฒนาตัวเองมากก็สามารถตามกันได้ทัน ปัจจุบันมีกิจกรรมดี ๆ มาก ๆ ให้วัยรุ่นเลือก วัยรุ่นในระดับมหาวิทยาลัยปัจจุบัน ถ้าถามใจหนูดีคิดว่า ไม่น่าห่วงเท่าไหร่
 
 
  แต่หนูดีห่วงผู้ใหญ่มากกว่าว่า เรากำลังทำอะไรกันอยู่ เรากำลังสร้างสังคม อย่างที่อยากให้ลูกหลานของเราเติบโตมาหรือไม่ มีผู้ใหญ่สักกี่คนในเมืองไทย ที่เริ่มคิดแล้วว่า ไม่อยากมีลูก เพราะไม่กล้าให้ลูกเติบโตในสังคมนี้  ไม่ใช่เพียงประเทศเรา แต่โลกของเรากำลังมาถึงยุคที่มนุษย์รุ่นนี้ไม่กล้ามีลูกหลานแล้วหรือ คือ มันแย่ขนาดนั้นแล้วหรือ แล้วถ้ามันแย่ขนาดนั้น
 
 
  เราเป็นประชากรคนหนึ่ง เราได้ทำอะไรที่ได้ช่วยโลกแล้วหรือยัง หรือวัน ๆ เอาแต่กลัว ที่พูดอย่างนี้เพราะหนูดีก็กลัวที่จะมีลูกแล้วเหมือนกัน แล้วจากการพูดคุยกับคนรอบข้าง คุยกับน้อง คุยกับเพื่อนเกินกว่าครึ่งทุกคนที่หนูดีรู้จักในชีวิตไม่กล้ามีลูก มีการคุยกันว่า ปีนี้มันน่ากลัวขนาดนี้ อีก 10 ปี 20 ปีกว่าลูกเราจะโต โลกเราจะถึงขั้นไหน
บางครั้งหนูดีก็มีความคิดอย่างนี้เหมือนกัน....แล้วก็คิดว่า เราคิดอย่างนี้ไม่ได้ เราต้องทำให้มันดีสิ !ไม่ว่าเราจะมีลูกหรือไม่มีลูก นักเรียนของเรา ลูกของเพื่อนเรา เขาต้องเติบโตไป เราอาจจะอยู่ถึง 90-100 ปี มันเป็นที่ทีเราต้องแบ่งปันกัน หนูดีว่า เป็นอะไรที่ต้องช่วยกันคิด และต้องช่วยกันทำ ให้มันดี ให้มันกระเตื้องเร็วที่สุด ไม่ใช่เฉพาะในประเทศไทย แต่ทั้งโลก
顶一下
(0)
0%
踩一下
(0)
0%

热门TAG: 孩子 电脑


------分隔线----------------------------